Lucky Charms Rainbow

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือน (อันดับที่8)

อันดับ 8  เมือง Dubai นครดูไบ ประเทศ แห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์  
(จำนวนนักท่องเที่ยวปี 2009 ประมาณ  7,584,500 คน / นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 จากปี 2008 




ดูไบ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศมีพื้นที่ประมาณ 3,225 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 1,674,527 คน ดูไบถือเป็นเมืองแห่งความมหัศจรรย์ เพราะที่ถูกผันแปรจากดินแดนทะเลทรายมาสู่ความมั่งคั่งในการค้า บริการ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และศูนย์กลางธุรกิจ ไม่จำกัดเฉพาะการค้าน้ำมันแบบก่อนๆ
          ขณะที่ตึกสูงระฟ้าผุดขึ้นทั่วเมือง รวมถึงตึกสูงสุดในโลกกว่า 180 ชั้นที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ว่ากันว่าเครนที่ใช้งานก่อสร้างในโลกขณะนี้ กว่า 40% อยู่ในดูไบ (โอ้โห) และรายได้หลักของชาวดูไบมาจากหลายทาง ไม่เฉพาะการขายน้ำมันถือที่ถือว่าเป็นรายได้หลักของประเทศ เพราะมีการผลิตน้ำมันสู่ตลาดโลกวันละ 2-2.5 ล้านบาร์เรล หากคิดรายได้เป็นเงินไทยตกวันละร่วมหมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่มีไม่มาก และส่วนใหญ่ประชากรเป็นชาวต่างชาติที่เข้าไปอาศัย กว่า 75% ที่นี่จึงนับเป็นเมืองน่าสนใจที่สุด ด้วยอัตราการเติบโตของจีดีพีสูงที่สุดในโลก
  และไม่ต้องกลัวว่าไปเที่ยวดูไบเมืองทะเลทรายแล้วจะขาดน้ำ เพราะทุกวันนี้ดูไบซึ่งไม่มีแหล่งน้ำจืด ได้สร้างโรงกลั่นน้ำทะเลของตัวเอง จนสามารถกลั่นออกมาเป็นน้ำจืด มากกว่าความต้องการจริงถึงวันละ 3 เท่า...ไม่มีฝันอะไรอีกแล้ว ที่ดูไบทำไม่ได้ (จริงไหม)




ดู ไบไม่เหมือนที่ใดในโลก นี่คือศูนย์กลางความหรูหราฟู่ฟ่า ทั่วทั้งเมืองกรุ่นไปด้วยกลิ่นอายแห่งโอกาสและความมั่งคั่งที่พร้อมปะทุขึ้น ทุกเวลา นี่คือเมืองที่โทรศัพท์มือถือฝังเพชรเครื่องละ 10,000 เหรียญ สหรัฐขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และนี่เมืองที่ในปีหนึ่งๆ มีผู้คนหลายล้านคนบินเข้ามาเพื่อช็อปปิ้งเพียงอย่างเดียว
ดูไบเป็นเมืองที่เรียกได้ว่าล้ำสมัยไปด้วยเทคโนโลยีต่างๆ และสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ตระการตา ขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าสะอาดและปลอดภัย แต่ที่ดูไบเป็นหนึ่งในลิสต์ของนักท่องเที่ยวหลายคน (โดยเฉพาะนักช้อป) ก็เพราะว่าที่นี่มีการขายสินค้าปลอดภาษี นอกจากนี้ ดูไบยังมีตลาดหรือที่เรียกว่า ซุก (Souk) โดยจะขายสินค้ามากมายหลายอย่าง ซุกที่ขึ้นชื่อก็ย่าน Deira Covered Souk ซึ่งถือว่าเป็นตลาดใหญ่ของดูไบ

ดินแดน ซึ่งเป็นสินค้าชั้นนำและมีชื่อเสียงจากทุกมุมโลกโคจรมารวมกัน เพื่อรอการเลือกสรรจากบรรดาผู้ที่รักการช้อปปิ้ง จนได้รับการขนานนามว่า ฮ่องกง แห่ง ตะวันออกกลาง อีกทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวแปลกๆที่คุณไม่เคยเจอ  หมู่เกาะต้นปาล์ม  ,อาคารเบิร์จดูไบ   ตึกที่สูงที่สุดในโลก ถึง 828 เมตร 180 ชั้น   ,Wild Wadi   หนึ่งในสวนน้ำอันดับหนึ่งของโลก  และไม่ต้องกลัวว่าไปเที่ยวดูไบเมืองทะเลทรายแล้วจะขาดน้ำ เพราะทุกวันนี้ดูไบซึ่งไม่มีแหล่งน้ำจืด ได้สร้างโรงกลั่นน้ำทะเลของตัวเอง จนสามารถกลั่นออกมาเป็นน้ำจืด มากกว่าความต้องการจริงถึงวันละ 3 เท่า...ไม่มีฝันอะไรอีกแล้ว ที่ดูไบทำไม่ได้
อาคารเบิร์จดูไบ
เบิร์จดูไบ (ภาษาอาหรับ: برج دبي , Burj Dubai - หอคอยดูไบ) เป็นตึกระฟ้าสูงยวดยิ่ง ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างในย่านกลางเมืองดูไบ และเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จก็จะถูกจัดเป็นอาคารระฟ้าที่สูงที่สุดในโลก กำหนดให้เข้าใช้งานได้ในต้นปี พ.ศ. 2552 ณ โดยจะสร้างให้มีความสูงประมาณ 818 เมตร ในดูไบยังมีโครงการก่อสร้างตึกในชื่อว่า อัลเบิร์จ ที่กำลังอยู่ในระหว่างการออกแบบและวางแผน โดยความสูงยังคงถูกเก็บเป็นความลับเช่นกัน โดยประมาณการว่าอาจจะสูงอย่างน้อย 800 เมตร
          การตกแต่งภายในจะบ่างออกเป็นโรงแรมอาร์มานี 37 ชั้นล่าง โดยชั้น 45 ถึง 108 จะเป็น อพาร์ตเมนต์ โดยที่เหลือจะเป็นออฟฟิศสำนักงาน และชั้นที่ 123 และ 124 จะเป็นจุดชมวิวของตึก ส่วนบนของตึกจะเป็นเสาอากาศสื่อสาร นอกจากนี้ชั้น 78 จะมีสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ และตึกนี้จะติดตั้งลิฟต์ที่เร็วที่สุดในโลก ที่ความเร็ว 18 ม/วินาที (65 กิโลเมตร/ชั่วโมง, 40 ไมล์/ชั่วโมง)

เบิร์จอาหรับ
เบิร์จอัลอาหรับ (ภาษาอาหรับ: برج العرب , Burj al-Arab) เป็นโรงแรมหรูหราและเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดในโลก โดยมีความสูง 321 เมตร (1,053 ฟุต) โดยตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลบริเวณอ่าวเปอร์เซีย โดยเชื่อมต่อกับฝั่งผ่านทางสะพาน เบิร์จอัลอาหรับเป็นเจ้าของโดย จูเมราฮ์ การก่อสร้างเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2537 แล้วเสร็จและเริ่มเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2542 โดยตัวตึกออกแบบมีลักษณะคล้ายเรือใบ dhow ซึ่งเป็นยานพาหนะชนิดหนึ่งของชาวอาหรับ

          ส่วนห้องในโรงแรมเบิร์จอัลอาหรับมีลักษณะเป็นห้องสวีตคู่ 202 ห้อง โดยห้องที่เล็กสุดมีขนาด 169 ตารางเมตร (1,819 ตารางฟุต) และห้องใหญ่สุดมีขนาด 780 ตารางเมตร (8,396 ตารางฟุต) และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในโรงแรมที่แพงที่สุดในโลก โดยราคาค่าที่พักอยู่เริ่มต้นที่ $1,000 -$15,000 ต่อคืน และห้องที่แพงสุดจะอยู่ที่ราคา $28,000 ต่อคืน

The Creek

เป็นจุดชมทิวทัศน์ มีลักษณะเป็นท่าเรือที่ตัดผ่านใจกลางเมือง ซึ่งเป็นศูนย์รวมประวัติศาสตร์และเป็นย่านชุมชนใน ดูไบ The Creek เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเดินเล่นชมวิวทิศทัศน์ ยิ่งผู้ที่สนใจวัฒนธรรมและประเพณีของผู้คนชาติต่างๆ จะต้องรู้สึกชื่นชมและประทับใจกับภาพทั้งสองฟากฝั่ง โดยเฉพาะภาพที่นกนางนวลหลายร้อยตัวบินโฉบฉวัดเฉวียนผ่านเรือสัญจร หรือที่เรียกว่า เรือเดา (dhow) มีลักษณะเป็นเรือใบเสาเดียวทีชาวอาหรับใช้เป็นพาหนะที่แล่นผ่านไปมา มีพระอาทิตย์ดวงกลมโตที่ค่อยๆ ลดแสงลง เป็นฉากหลัง

          คุณสามารถล่องเรื่อข้ามฟากชื่นชมสองฝั่งของดูไบได้ ตรงท่าขึ้นเรือตรงข้ามกับโรงแรมคอนติเนนตัลในฝั่ง Deira และ ตรงข้ามกับซุกเก่าในเขต Bur Dubai และที่กับภาพความสวยงามเหล่านั้นได้อย่างชัดเจนที่สุดคือตรงจุดที่เรียกว่า abra ซึ่งเป็นทางเข้าทางน้ำเล็กๆ กั้นระหว่างซุก Deira กับด้าน Bur Dubai และหากคุณล่องเรือไปจนสุดปลายอ่าว คุณจะเห็นทะเลสาบบนเกาะหินปะการังขนาดใหญ่และเป็นที่ตื้นเขิน ซึ่งในปัจจุบันกลายเป็นที่อพยพของสัตว์ โดยเฉพาะนก ที่ในฤดูหนาวจะอพยพมาตั้งหลักแหล่งในคราวเดียวกันถึง 27,000 ตัว โดยเฉพาะนกฟลามิงโกใหญ่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น